ข้อมูลงบการเงินที่ Jitta ได้รับมาจาก S&P Global Market Intelligence นั้นจะคำนวณกันคนละแบบกับ SET กล่าวคือ ค่าบางอย่างเช่น EPS ทาง S&P Global Market Intelligence จะคำนวณจาก continued operation อย่างเดียว ในขณะที่ SET จะคิดจากทั้ง continued และ discontinued operation นอกจากนี้ยังมีเรื่องของระยะเวลาของการคำนวณ เช่น Jitta จะคำนวณค่า P/E ของงบแบบ Fiscal Year (ปีงบประมาณ) ส่วน SET จะคำนวณเป็น Trailing Twelve Months คือคำนวณย้อนหลังไป 12 เดือน
ควากแตกต่างในการคำนวณหลักๆ ที่เราพบ มีดังนี้
- Revenue ของหุ้นกลุ่มประกันภัย SET จะคำนวณรายได้จากเบี้ยประกันภัยที่ถือเป็นรายได้สุทธิ + รายได้จากการลงทุนสุทธิ + รายได้อื่นๆ (https://www.set.or.th/set/companyfinance.do?type=income&symbol=TIP&language=th&country=TH) ส่วน Jitta จะคำนวณจากเบี้ยประกันภัยที่ถือเป็นรายได้สุทธิ + รายได้จากการลงทุนสุทธิ + รายได้อื่นๆ + ค่าจ้างและค่าบำเหน็จ + กำไรจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุน
- ROE SET จะคำนวณโดยนำ net income หารด้วยส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ยของปีปัจจุบันกับปีก่อนหน้า ในขณะที่ Jitta ใช้ net income หารด้วยส่วนของผู้ถือหุ้น
- ROA SET คำนวณโดยใช้รายได้ก่อนหักภาษีเงินได้หารด้วย asset เฉลี่ยของปีปัจจุบันกับปีก่อนหน้า ส่วน Jitta ใช้ net income หารด้วย asset ปีปัจจุบัน
- Operating margin คิดเหมือนกันคือใช้ net income หารด้วย revenue แต่เนื่องจากวิธีคิด revenue ไม่เหมือนกันตามข้อ 1. ทำให้ operating margin ออกมาไม่เท่ากัน
- Net income ของกองทุน Net income ที่แสดงใน Jitta ของกองทุนจะตรงกับส่วน "การเพิ่มขึ้น (ลดลง) ในสินทรัพย์สุทธิจากการดำเนินงาน" ของ Balance Sheet บน SET ซึ่งแสดงถึงมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของทรัพย์สินที่กองทุนมีอยู่ทั้งหมด https://www.set.or.th/set/companyfinance.do?type=income&symbol=QHHR&language=th&country=TH
- หนี้สิน ในด้านงบของ PTT ที่ไม่ตรงกับ SET นั้น เนื่องจากงบที่แสดงใน SET จะนำ "ส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุม (NON-CONTROLLING INTERESTS)" ไว้ในส่วนของผู้ถือหุ้น ในงบแสดงฐานะการเงิน แต่ของ S&P Global Market Intelligence จะแสดงไว้ในส่วนหนี้สินทำให้หนี้สินรวมใน S&P Global Market Intelligence มากกว่าใน SET ซึ่งการเอาไปไว้คนละส่วนกันเกิดจากแนวการทำบัญชีที่ต่างกัน ทำให้ได้ผลรวมไม่เท่ากัน
- Revenue เวลาใช้ตัวเลข Revenue นั้น Jitta จะใช้ตัวเลขรายได้จากยอดขายหรือรายได้หลักของบริษัท ในขณะที่ SET จะใช้รายได้รวม เหตุที่ Jitta ใช้รายได้หลักแทนรายได้รวมนั้น ก็เพื่อให้เห็นภาพของรายได้ได้ชัดเจนขึ้นว่า ธุรกิจหลักดีขึ้นหรือแย่ลง จะได้ไม่ทำให้นักลงทุนผิดพลาด ในกรณีที่บริษัทมีรายได้ที่ผิดปรกติเข้ามา
ซึ่งการคิด Jitta Score ก็คิดมาจากรายได้หลักของบริษัทมากกว่ารายได้รวม เพื่อสะท้อนให้เห็นว่า สินค้าและบริการหลักของบริษัทยังเป็นที่ต้องการของตลาด ยังขายได้ดีเหมือนเดิมอยู่หรือไม่ หรือว่าสินค้าขึ้นราคาตามเงินเฟ้อได้หรือเปล่า หรือ บริษัทมีความสามารถในการสร้างรายได้จากสินค้าและบริหารใหม่ๆ ได้หรือไม่ ก็จะทำให้สมเหตุสมผลกว่า การนำรายได้อื่นๆ หรือ ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม (ที่อาจจะไม่แน่นอนในแต่ละปี) มาร่วมคำนวณด้วย