หลังจากที่คลิกเข้าสู่ Explore by Country จากหน้า Home แล้ว จะเห็นหุ้นเรียงลำดับกันตามความน่าลงทุนหรือ Jitta Ranking (คุณสามารถเปลี่ยนให้เรียงลำดับกันตาม Jitta Score ได้ด้วย) คุณอาจจะเลือก 5 อันดับแรก หรือ 30 อันดับแรกก็ได้ ตามระดับความเสี่ยงที่สามารถยอมรับได้ (Top 5 จะมีโอกาสทำให้พอร์ตผันผวนกว่า Top 30)
ถ้าต้องการลงทุนใน Top 10 คุณต้องแบ่งเงินลงทุนเพื่อซื้อหุ้นตัวละ 10% ของพอร์ต ส่วนจะเลือก sector ซ้ำหรือไม่นั้น หากดูจากที่ Jitta ได้ลงทุนไว้แต่ละปีที่ Jitta Investment Return คุณจะเห็นว่าเราไม่ได้สนใจว่า sector จะซ้ำกันหรือไม่ แต่จะเลือก 5 หรือ 10 หรือ 20 อันดับแรกเรียงตาม Jitta Ranking การลงปรับพอร์ตเพื่อให้หุ้นมีความเสี่ยงเท่ากันนั้น โดยพื้นฐานแล้ว Jitta Ranking แนะนำให้ทำการปรับพอร์ตปีล่ะครั้ง แต่นักลงทุนสามารถปรับตามความเสี่ยงที่นักลงทุนรับได้ จะปรับพอร์ตทุก 3 เดือน, 6 เดือน,1 ปี หรือมากกว่านี้ก็ได้แต่ควรมีปรับเป็นระยะเพื่อให้พอร์ตของคุณนั้นมีสัดส่วนความเสี่ยงที่เท่ากันในแต่ล่ะหุ้น อย่าลืมคำนึงถึงค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหุ้นที่เพิ่มมากขึ้นตามจำนวนรอบการปรับพอร์ต
แต่หากต้องการลงลึกกว่านั้น เช่น ต้องการเลือกหุ้นเป็น sector หรือต้องการเพิ่มเกณฑ์บางอย่างในการซื้อหุ้น เช่น หุ้นที่กำไรเติบโตตลอด 5 ปีที่ผ่านมา คุณสามารถใช้ Jitta Playlist กรองหุ้น เลือกเรียงลำดับหุ้นตาม Jitta Ranking จากนั้นเลือกซื้อหุ้น 10 ตัวแรกทุกปี
สำหรับหุ้นที่ไม่ได้อยู่ใน Jitta Ranking แล้ว พอถึงเวลาปรับพอร์ตก็ควรจะขายเพื่อนำเงินมาแบ่งสัดส่วนซื้อหุ้นใหม่ตาม Jitta Ranking ของรอบถัดมา แต่จริงๆ แล้วประเด็นนี้จะค่อนข้างซับซ้อนอีกนิด เพราะว่าจะต้องแบ่งสัดส่วน หรือ rebalance พอร์ตใหม่ทั้งพอร์ต จึงไม่ได้ขายเฉพาะแค่ตัวที่ไม่ได้อยู่ใน Ranking แล้วเท่านั้น แต่ตัวที่ยังอยู่ใน Ranking ก็อาจจะต้องคำนวณขายเป็นบางส่วนเช่นกัน เช่น
หากเริ่มลงทุนใน Top 5 ด้วยจำนวนเงิน 100,000 บาท ซื้อหุ้นตัวละ 20,000 บาท พอสิ้นปีเงินลงทุนเพิ่มเป็น 200,000 บาท (ได้กำไร) ก็จะต้องแบ่งสัดส่วนเงินลงทุนให้หุ้น Top 5 ใหม่เป็นจำนวนตัวละ 40,000 บาท และทำแบบนี้ทุกๆปี จึงจะเป็นการลงทุนตาม Jitta Ranking ที่ให้ประสิทธิภาพมากที่สุด
ดูพิสูจน์ผลตอบแทนของ Jitta Ranking ได้ที่นี่
หรือ คลิกที่นี่เพื่อดู Jitta Ranking ของวันนี้